info@prosofterp.com
Prosoft Asset Management
081-359-6934
Prosoft WINSpeed Cloud
081-359-6933
Menu
Home
Product
Prosoft WINSpeed Cloud
Prosoft iERP Asset
Feature
Promotion
News & Promotion
E-Newsletter
Promotion
Event
บทความที่น่าสนใจ
Blog
กฎหมาย/ภาษี
การเงินการบัญชี
เกร็ดความรู้ภาษีต่างๆ
ข้อหารือภาษีอากร
กิจการ/อื่นๆ
Services
จองอบรม Online
FAQs
คู่มือการใช้งาน
บริการ Maintenance
วิธีการชำระเงิน
Manual
Prosoft Assets Management
Prosoft WINSpeed Cloud
Prosoft Asset Cloud
Help
System Requirement
Guidelines
About Us
About Us
Personal Data Protection Act
Contact Us
ทดลองใช้งานฟรี
หน้าแรก
Blog
กฎหมาย/ภาษี
ค่าชดเชยการเลิกจ้างกับภาระภาษีอากร
ค่าชดเชยการเลิกจ้างกับภาระภาษีอากร
ย้อนกลับ
หมวดหมู่บทความ
กฎหมาย/ภาษี
การเงินการบัญชี
เกร็ดความรู้ภาษีต่างๆ
ข้อหารือภาษีอากร
กิจการ/อื่นๆ
หน้าแรก
Blog
กฎหมาย/ภาษี
ค่าชดเชยการเลิกจ้างกับภาระภาษีอากร
ค่าชดเชยการเลิกจ้างกับภาระภาษีอากร
ย้อนกลับ
การกำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินค่าชดเชย ("Severance Pay")
ให้แก่ลูกจ้างเกิดจากแนวความคิดพื้นฐานที่ต้องการให้ลูกจ้างได้รับความช่วยเหลือหลังจากที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง ซึ่งการเลิกจ้างนั้นมิได้เกิดจากความผิดของลูกจ้าง โดยให้ลูกจ้างมีเงินจำนวนหนึ่งสำหรับ ใช้จ่ายในระหว่างที่ว่างงาน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะนี้ คือลูกจ้างบางคนที่ต้องออกจากงานอาจไม่ทราบว่าตนมีสิทธิเรียกค่าชดเชยจากนายจ้าง หรือหากทราบ แต่ก็ไม่ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วอาจจะมีแนวทางประหยัดภาษีสำหรับเงินค่าชดเชยที่ได้รับจากนายจ้างได้ด้วย ผู้เขียนจึงขอนำเสนอบทความที่เกี่ยวข้องดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น โดยในส่วนแรก จะขอสรุปหลักถึงประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ ที่นายจ้างและลูกจ้างพึงนำมาพิจารณาเพื่อปกป้องสิทธิของตนเมื่อมีการเลิกจ้างเกิดขึ้น และในส่วนที่สอง จะเป็นการวิเคราะห์และสรุปถึงแนวทางการคำนวณภาระภาษีให้แก่ลูกจ้างสำหรับเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้าง ทั้งนี้ ได้สรุปสิทธิประโยชน์ทางภาษีของลูกจ้างรวมทั้งแนวคำวินิจฉัยของกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้องไว้ตอนท้าย
ลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการจ่ายเงินค่าชดเชยสำหรับลูกจ้างที่เป็นคนไทย ตลอดจนคนต่างชาติซึ่งเข้ามาทำงานให้กับนายจ้างในประเทศไทยว่า ลูกจ้างดังกล่าวมีสิทธิได้รับค่าชดเชยหาก
(1) ลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยมิได้กระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนด และ
(2) ลูกจ้างถูกเลิกจ้างหลังจากที่ทำงานกับนายจ้างมาแล้วอย่างน้อยครบ 120 วัน
ฉะนั้น ในกรณีที่ลูกจ้างลาออกจากงานเอง ก็ไม่ถือว่า เป็นกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยแม้ว่าจะทำงานให้กับนายจ้างเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ตาม
อัตราค่าชดเชย
นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในจำนวนที่ไม่น้อยกว่าอัตราค่าชดเชยขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในมาตรา 118 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งปัจจุบันนั้ขึ้นอยู่กับอายุงานของลูกจ้าง ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1.ทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
2.ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
3.ทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
4.ทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน
5.ทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
จากรายการข้างต้น จะเห็นได้ว่าระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างเป็นตัวกำหนดว่า
(1) ลูกจ้าง มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากนายจ้างหรือไม่ และ
(2) ลูกจ้างมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยจากนายจ้างเป็นจำนวนมากหรือน้อยเพียงใดด้วย
ฉะนั้น ประเด็นสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาเป็นลำดับแรกคือเรื่องของการนับระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง ซึ่งการนับระยะเวลาการทำงานจะต้องพิจารณาว่า ลูกจ้างจะเริ่มนับระยะเวลาการทำ งานของตนได้ตั้งแต่เมื่อใดและถูกเลิกจ้างเมื่อใด
ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ลูกจ้างสามารถเริ่มนับระยะเวลาการทำงานได้นับตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างเริ่มเข้าทำงานให้กับนายจ้าง หากลูกจ้างทำงานให้กับนายจ้างครบ 120 วันแล้วและถูกเลิกจ้างโดยลูกจ้างมิได้กระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนด ลูกจ้างย่อมมีสิทธิ ได้รับค่าชดเชยจากนายจ้างแม้ว่าลูกจ้างรายนั้น จะอยู่ในระหว่างทดลองงานก็ตาม นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างและจะนำเหตุว่าลูกจ้างอยู่ในระหว่างทดลองงานมาปฏิเสธการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างไม่ได้ โดยสรุปลูกจ้างทดลองงานก็มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเช่นเดียวกับลูกจ้างทั่วไป
นอกจากนี้ หลังจากที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในปี 2551 แล้ว ท่านจะเห็นได้ว่าลูกจ้างทดลองงานจะมีสถานะทางกฎหมายไม่แตกต่างจากลูกจ้างทั่วไปแต่ประการใด ยกตัวอย่างเช่น หากมีการเลิกจ้างลูกจ้างทดลองงาน นายจ้างจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างทดลองงานหรือจ่าย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างทดลองงานด้วย
ทั้งนี้ ในกรณีที่นายจ้างไม่ต้องการจ้างลูกจ้างทดลองงานและไม่ต้องการจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้างทดลองงานอีกต่อไป นายจ้างสามารถทำได้อยู่ในทางปฏิบัติโดยการกำหนดระยะเวลาทดลองงานไม่เกิน 119 วัน
นอกจากนี้ หากมีข้อเท็จจริงปรากฎว่า นายจ้างจ้างลูกจ้างโดยตกลงแบ่งทำสัญญาจ้างเป็นช่วงๆต่อเนื่องกันเพื่อจะหลีกเลี่ยงว่า ลูกจ้างไม่ได้ทำงานติดต่อกัน ในกรณีเช่นนี้ หากลูกจ้างทำงานในลักษณะเดียวกันในทุกช่วงเวลา ก็ต้องนับระยะเวลาการทำงานทุกช่วงเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการได้สิทธิของลูกจ้างในเรื่องค่าชดเชยด้วย
ค่าจ้างอัตราสุดท้าย
โดยหลักการ นายจ้างนำเฉพาะค่าจ้างหรือเงินเดือนในอัตราสุดท้ายที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างมาเป็นฐานในการกำหนดจำนวนค่าชดเชยซึ่งนายจ้างจะต้องชำระให้แก่ลูกจ้าง ฉะนั้น นายจ้างและลูกจ้างพึงต้องคำนึงถึงค่าจ้างอัตราสุดท้ายให้มากเพราะอัตราค่าจ้างดังกล่าวจะใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย
ในบางกรณี ในขณะเจรจาตกลงทำสัญญาจ้างแรงงานนั้น นายจ้างอาจตกลงกับลูกจ้างด้วยวาจาว่า นายจ้างมีนโยบายจ่ายเงินเดือนให้กับลูกจ้างเป็นจำนวนไม่มาก แต่จะเสนอเงินโบนัส (แบบไม่มีกำหนดตายตัว) ให้แก่ลูกจ้างแทนในตอนปลายปี ในกรณีที่มีการตกลงกัน ดังกล่าว หากต่อมานายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง จำนวนค่าชดเชยที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างนั้นก็จะต้องคำนวณโดยใช้เงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างเป็นพื้นฐานในการคำนวณ โดยไม่รวมถึงเงินโบนัสที่นายจ้างตกลงว่าจะจ่ายให้ลูกจ้าง ทั้งนี้ เนื่องจากเงินโบนัสไม่ใช่ค่าจ้างและเป็นดุลพินิจของนายจ้างซึ่งจะจ่ายหรือไม่จ่ายก็ได้ หรือจ่ายมากน้อยเท่าใดก็ได้ ดังนั้นหากนายจ้างไม่จ่ายโบนัสให้แก่ลูกจ้าง หรือจ่ายน้อยกว่าตามที่ได้ตกลงกันด้วยวาจา หรือนายจ้างมิได้นำเงินโบนัสมาเป็นฐานในการคำนวณเงินชดเชย ลูกจ้างจึงไม่สามารถเรียกร้องเงินโบนัสต่อนายจ้างได้แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตในเรื่องเงินค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนลูกจ้างว่า ตามกฎหมายแรงงานนั้น ค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนลูกจ้างไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง (ฎ. 1427/2533และ ฎ. 7210/2546) เมื่อนายจ้างได้เลิกจ้างลูกจ้าง นายจ้างจึงไม่ต้องนำค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนลูกจ้างไปรวมกับเงินเดือนซึ่งเป็นค่าจ้างเพื่อเป็นฐานในการคำนวณเป็นค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง แต่ตามกฎหมายภาษีอากรของประเทศไทย หากนายจ้างออกค่าภาษีเงินได้แทนลูกจ้าง (ลูกจ้างไม่ต้องรับภาระในการเสียภาษีเงินได้ด้วยตนเอง) ในกรณีเช่นนี้ เงินค่าภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกแทนให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ลูกจ้างจึงต้องนำค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนไปรวมกับเงินเดือนลูกจ้างได้รับเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
ในทางปฏิบัติ หากมีข้อตกลงเรื่องการให้นายจ้างออกค่าภาษีเงินได้แทนลูกจ้างในสัญญาจ้างแรงงาน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต นายจ้างลูกจ้างควรตกลงร่วมกันให้ชัดเจนว่า นายจ้างจะออกภาษีทอดแรกให้ลูกจ้างเพียงทอดเดียว หรือนายจ้างจะออกภาษีให้แก่ลูกจ้างทุกทอด
ทั้งนี้ ในกรณีที่นายจ้างออกค่าเช่าบ้าน หรือค่าน้ำมันรถให้แก่ลูกจ้าง หลักเบื้องต้น ในการพิจารณาว่าค่าตอบแทนพิเศษเหล่านี้จะ ถือเป็นค่าจ้างหรือไม่ นั้น จะต้องพิจารณาว่า ค่าตอบแทนดังกล่าวจ่ายให้กับลูกจ้างตามที่ลูกจ้างได้จ่ายไปจริงโดยแสดงใบเสร็จรับเงิน หรือไม่ ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ ค่าตอบแทนดังกล่าว จะไม่ถือเป็นค่าจ้างเพราะไม่ใช้เป็นกรณีที่นายจ้างจ่ายเพื่อเข้ากระเป๋าของลูกจ้าง (ฎ. 2601/2526) ในทางกลับกัน หากนายจ้างจ่ายค่าตอบแทนพิเศษในลักษณะเป็นเงินจำนวนเฉพาะเจาะจงแน่นอนทุกเดือนโดยไม่ต้องใช้ใบเสร็จรับเงินประกอบ ค่าตอบแทนดังกล่าว จะถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง และจะต้องนำไปรวมกับเงินเดือนซึ่งเป็นค่าจ้างเพื่อเป็นคำนวณเป็นค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง (ฎ. 178/2528)3
อายุความฟ้องเรียกค่าชดเชย
เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติเฉพาะซึ่งกำหนดในเรื่องอายุความเรียกค่าชดเชย ลูกจ้างจึงอาจฟ้องเรียกค่าชดเชยได้ภายในอายุความ 10 ปี (ฎ. 1121/2524, ฎ. 2859/2525)
ข้อยกเว้นการจ่ายค่าชดเชยและการให้เหตุผลในการเลิกจ้าง
ตามมาตรา 119 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กำหนดเหตุ ที่นายจ้างสามารถนำมาอ้างเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างไว้หลายกรณี เช่น
- ในกรณี ที่ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร
- หรือในกรณีที่เป็นลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างเริ่มต้น และสิ้นสุดการจ้างไว้แน่นอน และนายจ้าง เลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น
ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่เป็นการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง และงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลา 2 ปี ในรายละเอียด ขอให้พิจารณาในมาตรา 118 วรรคสุดท้ายแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า การจ้างแรงงานที่มีกำหนดเวลาซึ่งนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหากเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น ต้องเป็นงานที่ไม่ใช่งานปกติในธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง แต่ในกรณีที่เป็นงานที่ลูกจ้างทำเป็นงานปกติ ในธุรกิจในทางการค้าของนายจ้าง ย่อมไม่เข้า ข้อยกเว้น นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง (ฎ.4026/2548)
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่า มาตรา 119 ของ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จะกำหนดเหตุที่นายจ้างสามารถนำมาอ้าง เพื่อ ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างไว้หลายกรณี แต่หากนายจ้างจะนำมาใช้เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง นายจ้างจะต้องระบุเหตุผลในการเลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกจ้างด้วย ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกจ้าง นายจ้างจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นอ้างในภายหลังเพื่อที่จะปฏิเสธที่จะจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างไม่ได้
หลักกฎหมายภาษีอากรในเรื่องค่าชดเชย
ในลำดับถัดไป ผู้เขียนจะขอนำเสนอถึงช่องทางที่ลูกจ้างควรที่จะนำมาพิจารณาเพื่อประหยัดภาษีเงินได้ของลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างได้รับเงินค่าชดเชยจากนายจ้าง ทั้งนี้ ก่อนที่ผู้เขียนจะนำเสนอถึงวิธีการที่ลูกจ้างพึงนำมาพิจารณาเพื่อประกอบการวางแผนภาษีอากรของลูกจ้าง ผู้เขียนมีความเห็นว่าลูกจ้างควรที่จะต้องทราบถึงหลักกฎหมายภาษีพื้นฐานเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับลูกจ้างก่อน
หลักกฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้เป็นลูกจ้างนั้นมีหลักการสำคัญว่าเมื่อลูกจ้างได้รับเงินได้ หรือผลประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าและถือเอาได้ จะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้เสมอ เว้นแต่กรณีที่มีกฎหมายมากำหนดยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้มีเงินได้ เช่น ในกรณีที่ลูกจ้างได้รับค่าชดเชยจากนายจ้างเป็นต้น
ในเรื่องค่าชดเชยนั้น กฎหมายภาษีได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างและนายจ้างได้จ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง ลูกจ้างจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินค่าชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้ แต่ทั้งนี้จะต้องไม่เกินเงินเดือน 300 วันสุดท้ายและต้องไม่เกิน 300,000 บาท หากเกิน ลูกจ้างก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เพียงแต่ส่วนที่ไม่เกินเท่านั้น ทั้งนี้เมื่อลูกจ้างทราบข้อยกเว้นดังกล่าว ลูกจ้างย่อมนำมาใช้เป็นแนวทางในการคำนวณภาระภาษีเงินได้ของตนได้ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ เสียภาษีเงินได้โดยประหยัดและโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ในกรณีที่นายจ้างไม่ได้เลิกจ้างลูกจ้างแต่ลูกจ้างสมัครใจลาออกจากงานเอง โดยนายจ้างใจดี ยอมจ่ายเงินให้จำนวนหนึ่ง หรือในกรณีนายจ้างมีนโยบายลดค่าใช้จ่ายและประสงค์จะเลิกจ้างแต่เพื่อไม่ให้เกิดความกดดันกับลูกจ้างส่วนใหญ่ จึงใช้วิธีเสนอผลประโยชน์ให้ลูกจ้าง ลาออก ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าลูกจ้างไม่สมัครใจลาออกตั้งแต่แรกแต่ด้วยการตัดสินใจในสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นลูกจ้าง โดยได้รับผลประโยชน์มากกว่าที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนด การจ่ายค่าชดเชยในกรณีเหล่านี้ นายจ้างและลูกจ้างมักจะเข้าใจว่า ลูกจ้างจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในเงินช่วยเหลือที่ได้รับจากนายจ้างเช่นเดียวกับกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างและจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้เขียนมักจะถูกถามความเห็นค่อนข้างบ่อย จึงมีความเห็นว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านอยู่บ้าง
ข
อบคุณบทความจาก ::
สรรพากรสาส์น
ประกาศบทความโดย ::
www.prosofterp.com
288
ผู้เข้าชม
สมัครรับข่าวสาร
Get started for free today.
ทดลองใช้งาน
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น
นโยบายคุกกี้
ตั้งค่าคุกกี้
ยอมรับทั้งหมด
×
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
คุกกี้พื้นฐานที่จำเป็น
เปิดใช้งานตลอดเวลา
คุกกี้พื้นฐานที่จำเป็น เพื่อช่วยให้การทำงานหลักของเว็บไซต์ใช้งานได้ รวมถึงการเข้าถึงพื้นที่ที่ปลอดภัยต่าง ๆ ของเว็บไซต์ หากไม่มีคุกกี้นี้เว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม และจะใช้งานได้โดยการตั้งค่าเริ่มต้น โดยไม่สามารถปิดการใช้งานได้
คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์
คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน
คุกกี้ในส่วนการตลาด
คุกกี้ในส่วนการตลาด ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานแต่ละรายและเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณาสำหรับบุคคลที่สาม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี
By SoGoodWeb.com