เลขที่หนังสือ กค 0811/08464 ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการบันทึกบัญชีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท

เลขที่หนังสือ กค 0811/08464 ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการบันทึกบัญชีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท

เลขที่หนังสือ : กค 0811/08464
วันที่ : 11 มิถุนายน 2541
เรื่อง : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการบันทึกบัญชีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท
ข้อกฎหมาย : มาตรา 65 ทวิ (5), คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540
ข้อหารือ : บริษัทฯ ได้ทำสัญญากู้เงินเมื่อ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 จำนวน 80 ล้าน us$ โดยมี อายุหนี้ 14.5 ปี ปลอดหนี้ 2 ปี การชำระหนี้ในสัญญาได้กำหนดเป็นร้อยละของมูลค่าหนี้ในแต่ละปีไว้ปัจจุบันบริษัทฯได้เบิกเงินกู้มาใช้เป็นจำนวนเงิน 20,370,000 us$ เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างโรงงานเป็นเงินจำนวน 19,446,050 us$ และใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไปเป็นเงินจำนวน923,950 us$ ผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทลอยตัวของเงินกู้นี้ ณ วันที่ 31/12/40 เป็นเงินจำนวนรวมทั้งสิ้น 174,667,800 บาท โดยเป็นผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินที่ใช้ในการก่อสร้างโรงงานเป็นเงิน 166,150,008 บาท และจากค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไปเป็นเงิน 8,517,792 บาท บริษัทฯ ได้เลือกวิธีข้อ 2 (1) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540 เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 บริษัทฯ จึงขอทราบว่า1 วิธีการที่บริษัทฯ เลือกใช้ถูกต้องตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540 ฯลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 หรือไม่ สำหรับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของงานก่อสร้างบริษัทฯ จะรวมไว้เป็นต้นทุนงานก่อสร้าง และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าใช้จ่ายก่อนการดำเนินงานจะนำมาแสดงไว้ในงบกำไรขาดทุน แต่ในปี ค.ศ. 1997 และ 1998 บริษัทฯ ไม่มีภาระหนี้สินที่ต้องชำระ จึงไม่มีผลขาดทุนจำนวนนี้ปรากฏในงบกำไรขาดทุน2 รอบระยะบัญชีของบริษัทฯ ตรงกับวันที่ 31 สิงหาคม 2540 อัตราแลกเปลี่ยนที่บริษัทฯจะนำมาใช้ ณ วันสิ้นรอบบัญชี ควรจะใช้อัตราใด ระหว่างอัตราของกรมสรรพากร อัตราของธนาคารแห่งประเทศไทย และอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศใช้
แนววินิจฉัย : 1 ตามข้อเท็จจริง หนี้สินตามสัญญากู้ดังกล่าวซึ่งเป็นเงินตราต่างประเทศ บริษัทฯ จะต้องคำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทย ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี หากมีผลกำไรหรือขาดทุนจากการตีราคาหนี้สินดังกล่าว บริษัทฯ ต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้หรือรายจ่ายแล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ตามมาตรา65 ทวิ (5) วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และตามข้อ 1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540
2 เนื่องจากตามข้อเท็จจริงข้างต้น การกู้เงินตามสัญญาดังกล่าวเป็นการกู้เงินระยะยาวเป็นระยะเวลา 14.5 ปี ถือเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุน ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ ได้นำเงินตามสัญญากู้ดังกล่าวไปใช้เป็นต้นทุนในงานก่อสร้างโรงงาน บริษัทฯ มีสิทธินำผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้างโรงงานมารวมเป็นต้นทุนทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา ตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากรได้
3. กรณีบริษัทฯ อ้างว่าได้นำเงินกู้ตามสัญญาเงินกู้ระยะยาวมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายก่อนการดำเนินงานนั้น แม้จะมีหลักฐานการจ่ายเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน แต่กรณีเป็นการยากที่จะพิสูจน์ว่าตัวเงินที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายนั้น จะเป็นเงินที่กู้มา เพราะโดยปกติการกู้เงินตามสัญญาเงินกู้ระยะยาวจะเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุน อีกทั้ง บริษัทฯ อาจจะใช้เงินทุนหมุนเวียนซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯเองก็ได้ กรณีจึงไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องวินิจฉัยถึงผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจากค่าใช้จ่ายว่าบริษัทฯ จะเลือกใช้วิธีตามข้อ 2 (1) ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540 ฯ ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ได้หรือไม่
4. กรณีบริษัทฯ มีทรัพย์สินหรือหนี้สินซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทย ตามมาตรา 65ทวิ (5) (ก) แห่งประมวลรัษฎากรกล่าวคือ หากเป็นเงินตราหรือทรัพย์สิน ให้ใช้อัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ หากเป็นหนี้สิน ให้ใช้อัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้
เลขตู้ : 61/26786


ขอบคุณบทความจาก ::www.rd.go.th
 476
ผู้เข้าชม
Get started for free today. ทดลองใช้งาน

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์