บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทากิจการในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (มาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร) ซึ่งโดยทั่วไปจะเก็บจากฐานกาไรสุทธิ (Net Profit) โดยเก็บตามรอบระยะเวลาบัญชี (มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร)การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศเข้ามาเปิดสาขา(Branch) ในประเทศไทย ย่อมถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย จึงต้องเสียภาษีจากฐานกาไรสุทธิด้วย แต่ถ้าไม่สามารถคำนวณกำไรสุทธิได้ก็อาจขอเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆ ได้ (มาตรา 66 วรรคสองแห่งประมวลรัษฎากร) เมื่อสาขาในประเทศไทยส่งเงินกาไรไปให้สานักงานใหญ่ในต่างประเทศจึงต้องเสียภาษีจากการจาหน่ายเงินกาไร(Remittance Tax or Branch Profit Tax) ทั้งนี้เพื่อให้มีการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันและเป็นกลาง(Neutrality and Equity) ระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่เข้ามาประกอบกิจการในรูปของบริษัทในเครือ (Subsidiary)(ซึ่งต้องจดทะเบียนในประเทศไทย) กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่เข้ามาประกอบกิจการในรูปของสาขา (Branch)1 เนื่องจากเงินที่บริษัทในเครือส่งออกไปให้บริษัทแม่ในต่างประเทศจะอยู่ในรูปของเงินปันผลซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร แต่เงินที่สาขาส่งออกไปให้สานักงานใหญ่ในต่างประเทศจะอยู่ในรูปของกาไรไม่ใช่เงินปันผลฉะนั้น เพื่อให้เงินที่สาขาส่งออกไปให้สานักงานใหญ่ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับเงินปันผลที่บริษัทในเครือส่งออกไปให้บริษัทแม่ในต่างประเทศ จึงต้องจัดเก็บภาษีจากการจาหน่ายเงินกาไรนั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะจัดเก็บในอัตราเดียวกัน ดังนั้นการพิจารณาเกี่ยวกับผู้มีหน้าที่เสียภาษีจากการจำหน่ายเงินกำไรเพื่อให้เกิดความชัดเจน จึงมีความสำคัญและจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรได้อีกทางหนึ่ง
