บริษัท P หารือเกี่ยวกับภาษีเงินได้ปิโตรเลียมและภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีที่บริษัทฯ มีรายได้และรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสัญญาแบ่งปันผลผลิตของแปลงสำรวจในอ่าวไทย มีข้อเท็จจริงสรุปได้ ดังนี้
1.บริษัทฯ จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 มีรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มวันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี บริษัทฯ ได้เข้าร่วมการประมูลเพื่อขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย และในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับกระทรวงพลังงาน จำนวน 2 ฉบับ สำหรับแปลงสำรวจในอ่าวไทย หมายเลข G1/61 และ G2/61 (สัญญาฯ) โดยสัญญาแบ่งปันผลผลิตทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว มีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ขอหารือ ดังนี้
1.1วันที่สัญญามีผลใช้บังคับ สัญญาแบ่งปันผลผลิตทั้ง 2 ฉบับ มีผลใช้บังคับทันทีในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562
1.2วันที่ให้สิทธิเป็นผู้รับสัญญาบริษัทฯ จะได้สิทธิเป็นผู้รับสัญญาในวันที่ 24 เมษายน 2565
1.3ระยะเวลาสำรวจระยะเวลาสำรวจที่กำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2565
1.4ระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม ระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมมีกำหนด 20 ปี นับจากวันถัดจากวันสิ้นระยะเวลาสำรวจ
1.5กำหนดเวลายื่นแผนงานและงบประมาณ สำหรับกิจกรรมปิโตรเลียม (WPB) ในปีที่หนึ่ง บริษัทฯ ต้องยื่นแผนงานและงบประมาณดังกล่าว ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564
2.ในช่วงเวลาก่อนสัญญาฯ มีผลใช้บังคับ กล่าวคือ ระหว่างวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 บริษัทฯ มีรายได้และรายจ่าย ดังนี้ รายได้ ได้แก่
(1)ดอกเบี้ยเงินฝากบัญชีออมทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์
(2)กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
(3)ค่าบริการข้อมูล สำหรับการประมูลแปลงหมายเลข G1/61 และแปลงหมายเลข G2/61 จากบริษัทที่เข้าศึกษาการประมูลร่วมกัน รายจ่าย ได้แก่
(1)ค่าใช้จ่ายซึ่งจ่ายให้แก่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ดังนี้
-ค่าเข้าร่วมประมูล (Participation Fee) จำนวน 7,000,000 บาทต่อแปลง
-ค่าธรรมเนียมคำขอประมูล (Application Fee) จำนวน 50,000 บาทต่อหนึ่งคำขอ
-ค่าตอบแทนการลงนาม จำนวน 1,050,000,000 บาทต่อแปลง
(2)ค่าบริการข้อมูลที่จ่ายให้แก่บริษัทในเครือเพื่อให้การสนับสนุนการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประมูล
(3)ค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัทฯ
(4)ค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันจากธนาคาร (Bank Guarantee Fee)
(5)ค่าที่ปรึกษาและผู้สอบบัญชี
(6)ค่าบริการที่จ่ายให้แก่บริษัทในเครือ สำหรับการบริหารจัดการ (Administrative Services)
(7)ดอกเบี้ยจ่าย
3.ในช่วงเวลาตั้งแต่สัญญาฯ มีผลใช้บังคับ (25 กุมภาพันธ์ 2562) เป็นต้นไป แต่ก่อนวันที่จะได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาฯ (24 เมษายน 2565) บริษัทฯ จะมีรายได้และรายจ่าย ดังนี้ รายได้ ได้แก่
(1) ดอกเบี้ยเงินฝากบัญชีออมทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์
(2) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
(3) ค่าบริการสำหรับการเป็นผู้ดำเนินการที่เรียกเก็บจากบริษัทผู้ร่วมรับสัญญาฯ ในแปลงหมายเลข G1/61 รายจ่าย ได้แก่
(1)ค่าใช้จ่ายตามสัญญาฯ ซึ่งจ่ายให้แก่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ดังนี้
-เงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนาปิโตรเลียมในประเทศไทย ปีละ 7,000,000 บาท โดยชำระภายในวันที่ 24 เมษายนของทุกปี ตลอดระยะเวลาตามสัญญาฯ นับแต่วันที่สัญญาฯ มีผลใช้บังคับจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาฯ โดยชำระครั้งแรกภายในวันที่ 24 เมษายน 2562
-ผลประโยชน์พิเศษอื่น ๆ ในวงเงินปีละ 3,500,000 บาทต่อแปลง ตลอดระยะเวลาตามสัญญาฯ นับแต่วันที่สัญญาฯ มีผลใช้บังคับจนถึงปีที่ครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาฯ เพื่อให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติใช้ในการจัดซื้อ/จัดหาตำรา ข้อมูล และเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ทางเทคนิค และจัดส่งเจ้าหน้าที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ หรือบุคคลสัญชาติไทยตามที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนด เข้ารับการศึกษา ฝึกอบรม ประชุม และสัมมนาในสาขาวิทยาศาสตร์ ธรณีวิทยา วิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย และการจัดการ จากสถาบันหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการฝึกอบรมในบริษัทฯ และ/หรือตามสาขาในประเทศต่าง ๆ รวมถึงการดูงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการปิโตรเลียม ถ่านหิน และหินน้ำมัน
(2)ค่าตอบแทนการเข้าพื้นที่ ตามข้อตกลงการเข้าพื้นที่ (Site Access Agreement) ให้แก่ผู้รับสัมปทานปัจจุบัน สำหรับแปลงหมายเลข G1/61 และแปลงหมายเลข G2/61
(3)ค่าตอบแทนให้แก่ผู้รับสัมปทานปัจจุบัน สำหรับแปลงหมายเลข G1/61 และแปลงหมายเลข G2/61 เพื่อรักษาระดับกำลังการผลิตปิโตรเลียม
(4) ค่าที่ปรึกษาและผู้สอบบัญชี
(5) ค่าบริการที่จ่ายให้แก่บริษัทในเครือ สำหรับการบริหารจัดการ (Administrative Services)
(6) ค่าแรงงาน ค่าบริการ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และรายจ่ายในการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
4.ในช่วงเวลาตั้งแต่บริษัทฯ ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาฯ (24 เมษายน 2565) เป็นต้นไป บริษัทฯ จะมีรายได้และรายจ่าย ดังนี้ รายได้ ได้แก่
(1) รายได้จากการขายปิโตรเลียมตามสัญญาฯ
(2) ดอกเบี้ยเงินฝากบัญชีออมทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์
(3) ดอกเบี้ยจากการบริหารเงิน (Cash Pooling) ที่ได้รับจากบริษัทในเครือ
(4) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
(5) ค่าบริการสำหรับการเป็นผู้ดำเนินการที่เรียกเก็บจากบริษัทผู้ร่วมรับสัญญาฯ ในแปลงหมายเลข G1/61 รายจ่าย ได้แก่
(1)ค่าใช้จ่ายตามสัญญาฯ ซึ่งจ่ายให้แก่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ดังนี้
-ค่าตอบแทนการใช้สิ่งติดตั้งของรัฐ จำนวน 350,000,000 บาท สำหรับแปลงหมายเลข G1/61 และ 175,000,000 บาท สำหรับแปลงหมายเลข G2/61 โดยแบ่งชำระเป็น 3 งวด งวดละเท่า ๆ กัน ภายในวันที่ 24 เมษายนของทุกปี ชำระครั้งแรกภายในวันที่ 24 เมษายน 2565
-ค่าตอบแทนการผลิต คำนวณจากปริมาณสะสมของผลผลิตรวมของปิโตรเลียมในอัตรา ดังนี้
(ก)เมื่อมีปริมาณสะสมถึง 100 ล้านบาร์เรล ให้ชำระ 525,000,000 บาท
(ข)เมื่อมีปริมาณสะสมถึง 200 ล้านบาร์เรล ให้ชำระอีก 525,000,000 บาท
(ค)เมื่อมีปริมาณสะสมถึง 300 ล้านบาร์เรล ให้ชำระอีก 525,000,000 บาท
โดยให้ชำระเงินค่าตอบแทนการผลิต ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ปริมาณสะสมของผลผลิตรวมของปิโตรเลียมถึงอัตราที่กำหนด
-เงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนาปิโตรเลียมในประเทศไทยปีละ 7,000,000 บาท ตลอดระยะเวลาสัญญาฯ
-ผลประโยชน์พิเศษอื่น ๆ ในวงเงินปีละ 3,500,000 บาทต่อแปลง ตลอดระยะเวลาตามสัญญาฯ
-สำหรับแปลงหมายเลข G2/61 บริษัทฯ ตกลงจ่ายเงินเป็นจำนวน 650,000,000 บาท ในระยะเวลา 10 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปี 2575 ในวงเงินปีละ 65,000,000 บาท เพื่อใช้ในโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านปิโตรเลียมในประเทศไทย
(2)ค่าที่ปรึกษาและผู้สอบบัญชี
(3)ค่าบริการที่จ่ายให้แก่บริษัทในเครือ สำหรับการบริหารจัดการ (Administrative Services)
(4)ค่าสิ่งติดตั้ง (Facilities/Platforms) เพื่อใช้ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
(5) ค่าแรงงาน ค่าบริการ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และรายจ่ายในการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
บริษัทฯ ขอหารือว่า บริษัทฯ จะมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในรายได้และรายจ่าย ในแต่ละช่วงเวลาข้างต้น อย่างไร
|