เมื่อกิจการมีสินค้าที่ล้าสมัย มีตำหนิ เสื่อมสภาพ หรือสินค้าที่ถูกทำลายจากธรรมชาติ กิจการอาจจำเป็นต้องตัดสินใจทำลายทิ้ง ด้วยวิธีการต่างๆเพื่อไม่ให้ถือเป็นการขาย ซึ่งการทำลายสินค้านั้นต้องมีการตรวจสอบสภาพสินค้าและได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ โดยต้องมีเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีรวมถึงต้องให้ผู้สอบบัญชีทำการรับรองว่าสินค้านั้นได้ถูกทำลายจริงและมีสาเหตุที่ต้องทำลายอย่างเหมาะสม ซึ่งแนวทางปฏิบัติได้กำหนดไว้แล้วตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.79/2541 ฯ (แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งฯที่ ป.84/2542)ฯ และคำสั่งฯ ที่ ป.58/2538 ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้กำหนดแนวทางการทำลายสินทรัพย์ที่ชำรุดเสียหาย แต่ได้กำหนดวิธีการตัดต้นทุนของสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ให้มาลงเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้
แต่หากกิจการไม่ต้องการทำลายสินค้านั้นๆ ทิ้ง แต่เลือกที่จะขายสินค้าที่ล้าสมัย มีตำหนิ หรือเสื่อมสภาพในราคาที่ต่ำกว่าราคาต้นทุนของสินค้า จะทำได้หรือไม่ ต้องมีการแสดงหลักฐานอย่างไรหรือไม่ และกรมสรรพากรยอมรับได้หรือไม่ เป็นประเด็นสำคัญที่กิจการทั้งหลายอาจจะต้องพบเจอ (ไม่วันใดก็วันหนึ่ง)
การจะตอบคำถามกรณีดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาจากหลักเกณฑ์ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดไว้ว่า “กรณีโอนสินทรัพย์ ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ย หรือมีค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือดอกเบี้ยนั้นตามราคาตลาดในวันที่โอน ให้บริการ หรือกู้ยืมเงิน”
ดังนั้นหากกิจการจะขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน สินค้าใกล้หมดอายุหรือสินค้าหมดอายุแล้ว หรือสินค้าที่มีตำหนิหรือล้าสมัย ในราคาต่ำกว่าต้นทุนซึ่งถือเป็นการโอนทรัพย์สินนั้น ก็กระทำได้โดยต้องมีการตรวจสอบสภาพสินค้าว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กิจการกำหนดไว้ และได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจของกิจการว่าเป็นสินค้าใหล้หมดอายุหรือสินค้าหมดอายุแล้ว สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือสินค้าที่มีตำหนิหรือล้าสมัย พร้อมทั้งต้องมีบุคคลร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วย ฝ่ายคลังสินค้าและฝ่ายบัญชี หรืออาจจะมีฝ่ายขายและฝ่ายตรวจสอบด้วยก็ได้ โดยบุคคลที่ร่วมสังเกตการณ์ลงลายมือชื่อเป็นพยานในการขาย เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกบัญชี หากได้ทำตามที่กล่าวมานี้ก็อาจถือว่าเป็นฯการขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าทุนนั้นมีเหตุผลอันสมควร ไม่ต้องถูกประเมินตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ก็ได้
สำหรับการทำลายสินทรัพย์หรือสินค้าดังกล่าวหากเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็ไม่ถือเป็นการจำหน่าย จ่ายโอนสินค้า และไม่ถือเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าสินค้าที่ได้ทำลายและตัดออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือนั้น
โดยสรุปก็คือ การทำลายสินค้าและสินทรัพย์ไม่ว่าจะโดยวิธีการตัดต้นทุนของสินทรัพย์ที่เหลืออยู่หรือโดยการขายในราคาที่ต่ำกว่าทุนนั้น จะต้องมีเอกสารประกอบเพื่อพิสูจน์ได้ว่าสินค้าหรือสินทรัพย์นั้นมีสภาพที่ไม่เหมาะสมต่อการขายหรือขายก็ได้ราคาต่ำกว่าราคาตลาด
นอกจากนี้ยังต้องมีผู้สอบบัญชีและพยานผู้ให้การรับรองเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอย่างครบถ้วน ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่กิจการจจะสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างสบายใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูกตรวจสอบภายหลัง
ขอบคุณบทความจาก :: สรรพากร
ประกาศบทความโดย :: www.prosofterp.com