เลขที่หนังสือ | : กค 0811/13128 |
วันที่ | : 8 กันยายน 2541 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีผลต่างที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 65 ทวิ (5), คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540ฯ |
ข้อหารือ | : ธนาคารต่างประเทศได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป็นกิจการวิเทศธนกิจโดยตั้งเป็นสาขาวิเทศธนกิจในประเทศไทย การรับฝากเงินตราของธนาคารนั้นจะรับฝากเป็นเงินตราต่างประเทศธนาคารมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกเริ่มตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2540 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม 2540 และรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปสิ้นสุด วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีธนาคารฯ ได้เปิดดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2540 ได้นำเงินเข้ามาเพื่อเป็นเงินทุนของธนาคารโดยนำเข้ามาเป็นเงินตราเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 20,000,000 ซึ่ง อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้นเงินตราต่างประเทศประมาณ 25.75 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้บันทึกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ต่อมา ณ วันสิ้นรอบบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนเป็นประมาณ 40.914 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐมีความเข้าใจว่า กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารสามารถบันทึกบัญชีเป็นดอลลาร์สหรัฐหรือเงินบาทก็ได้ หากต่อมา ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนได้เปลี่ยนแปลงไปจาก ณ วันที่ธนาคารได้นำเงินทุนเข้ามา ผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดรายได้และ ค่าใช้จ่ายเนื่องจากบัญชีหลัก (Main Book) ของกิจการวิเทศธนกิจซึ่งได้บันทึกเป็นดอลลาร์สหรัฐเนื่องจาก 1. กรณีที่ธนาคารฯ บันทึกบัญชีเป็นดอลลาร์สหรัฐ แม้จะมีการแปลงค่าเงินทุนเป็นเงินบาทในงบการเงิน ธนาคารจะไม่มีกำไรขาดทุนจากผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน 2. หากธนาคารฯ บันทึกบัญชีเป็นเงินบาท โดยแปลงค่าเงินทุนที่นำเข้าด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนำเข้า แต่ในด้านเงินทุนนั้นธนาคารยังถือเงินตราต่างประเทศอยู่ และเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ธนาคารจะแปลงค่าเงินตราต่างประเทศ ทั้งทางด้านสินทรัพย์ หนี้สิน และทุนของธนาคาร โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี โดยทุนนั้นธนาคารถือว่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่ธนาคารถืออยู่ การแปลงค่านี้จะทำให้ไม่มีกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนคือเป็นการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศที่เป็นทุนแปลงค่าทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมกันจึงขอทราบว่า ความเข้าใจของธนาคารดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ |
แนววินิจฉัย | : กรณีตามข้อเท็จจริง ธนาคารฯ มีเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณค่าหรือราคาของเงินตราทรัพย์สิน หรือหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขายของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้ ผลของการคำนวณ ถ้ามีผลกำไรหรือขาดทุนจากการคำนวณค่าหรือราคาดังกล่าว ให้นำมารวมคำนวณเป็นรายได้หรือรายจ่ายแล้วแต่กรณี ในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวได้ทั้งจำนวน ตามมาตรา 65 ทวิ (5) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.72/2540 เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2540ดังนั้น ธนาคารฯ จึงไม่มีสิทธิที่จะไม่ปรับปรุงผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีแต่อย่างใด |
เลขตู้ | : 61/27066 |